สอน ป. 6 ให้ติดกูเกิ้ล
จากป.6รากหญ้า สู่ตลาดออนไลน์
วันอาทิตย์ที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558
บันทึกเด็กป.6
สวัสดีค่ะ ดิฉัน สรญา จำปาทิพย์ หรือเรียกง่ายว่า กระต่าย
เป็นคนจังหวัดพิจิตร อ.บางมูลนาก
ถ้าท้าวความตั้งแต่เริ่มต้นชีวิต คือเป็นเด็กมีปัญหาทางครอบครัว
พ่อแต่งงานใหม่ แล้วแยกออกไปอยู่อีกบ้าน ส่วนดิฉันอยู่กับย่าค่ะ
เลยไม่มีโอกาสดีๆในการศึกษา เริ่มทำงานตั้งแต่เด็กๆค่ะ อยู่กับย่าตามลำพัง รับจ้างเกี่ยวข้าว ดำนา หักข้าวโพด ตอนนั้นก็เรียนโรงเรียนวัดแถวๆบ้านค่ะ อายุ4-5ขวบ พออายุได้ 9 ขวบ พ่อก็มารับเข้ามาศึกษาในกรุงเทพ เลยได้มาเรียนต่อที่ จ.สมุทรปราการ ได้เข้าเรียนที่วัดบางพลี
บอกเลยว่าเป็นคนสมองไม่รับความรู้เลย ก็เลยเป็นคนเรียนช้า
พอขึ้นม.1 พ่อก็คงเห็นว่า คงเรียนไปไม่รอดแน่ๆ เลยให้ออกมาช่วยที่บ้านขายของ เปิดร้านขายอาหารป่าอยู่ 2-3 ปี พ่อก็เลิกขาย
ส่วนเรา ด้วยที่ไม่มีความรู้ ไม่ได้เรียนต่อ ก็กลับมาอยู่บ้านที่พิจิตรกับย่าเหมือนเดิม ทำงานเดิมๆ เกี่ยวข้าว ดำนา หักข้าวโพด ทำงานก่อสร้างบ้าง พอเริ่มรู้สึกเหนื่อย ก็อยากหางานสบายๆทำ หนีออกจากบ้านค่ะ หนีไปไกลเลยค่ะ หนีไปอยู่ยะลา ไปกับเพื่อน 2 คน โดยที่ไม่รู้จักใครเลย ไปโดยที่ไม่รู้เลยจะเป็นอย่างไร ก็ไปอยู่ร้านอาหาร เป็นเด็กเสริฟได้วันล่ะ50บาท ทำอยู่2ปี พอรู้จักคนเยอะขึ้น ก็หันไปกรีดยาง เหนื่อยมากค่ะ ชีวิตตอนนั้น ทำทุกอย่าง อยู่ที่ยะลา7ปี ก็คิดว่าไม่ไหวแล้ว รู้สึกอยากกลับบ้าน เลยกลับมาบ้าน ก็เหมือนเดิมค่ะ
กลับมาทำงานเดิมๆ ตอนนั้นคิดว่า เราคงทำได้เท่านี้ มีบางครั้งคิดจะเรียนต่อจะได้มีงานดีๆทำแบบเค้า แต่ด้วยเวลาและเงิน มันไม่ตรงกัน เลยได้แค่สมัครไว้ แล้วไปเรียนไม่ได้ เสียดายมากค่ะ แต่ก็ทำใจนะค่ะ ได้แต่คิดว่าเราคงได้แค่นี้ ตอนนั้นคิดว่าตัวเองคงอู่กับทุ่งนา ข้าวโพดไปจนตาย แต่เพราะเป็นคนหัวแข็ง ชอบทำ ชอบคิด อะไรแปลกๆ
เลยเข้ากรุงเทพอีกครั้ง
เพื่อติดต่อพ่อ พอมาถึงกรุงเทพ ก็ไม่มีไรทำเหมือนเดิม เลยเดินหางาน รับจ้างล้างจาน เสริฟบ้าง ตามที่จะทำได้ พ่อก็พาไปสมัครงาน ตามโรงงาน ตามที่ๆเค้าน่าจะรับคนที่จบป.6ทำงาน ก็ไปทำโรงงานค่ะ แต่เพราะเป็นคนรักอิสระ ก็ทำได้ไม่นาน เลยหาของขายตามตลาดนัด ช่วงแรกๆก็ขายดีค่ะ พอหลังๆเริ่มแย่ ก็เลิกทำ มาหารับจ้างทำอย่างอื่น ด้วยความที่ทำอะไรไม่เป็นแต่พอมีไหวพริบบ้าง เลยเข้าร้าน อินเทอร์เน็ต เข้าค้นหางานที่เราจะพอทำได้ ก็ไปเจองานแม่บ้าน ก็ติดต่อ ทำงานบ้าน ตามคอนโดมาเรื่อยๆ บางทีไปทำให้นายฝรั่ง พูดก็ไม่รู้เรื่อง ฟังไม่ก็ไม่ออก แต่ก็ไปค่ะ บางงานไปทำให้ญี่ปุ่น บอกเลยว่า กว่าจะสื่อสารรู้เรื่อง ต้องให้ นิติคอนโดตามคอนโดช่วยคุย เป็นแม่บ้านมาหลายปีค่ะ โดนหลอกไปทำบ้าง ทำไม่ได้เงินก็บ่อย เดินหางานไปทั่วค่ะ และ ก็คิดได้ว่า
เราไปสมัครหาแม่บ้านในเว็บไซต์น่าจะดี
เลยเอาชื่อไปลงทิ้งไว้ ประมาณ1อาทิตย์ ก็มีคงโทรมาให้ไปทำงานบ้านประจำ ที่สุขุมวิทเอกมัย ให้เงินเดือน13,000บาท ดีใจมาก เราก็รีบตอบตกลง และนัดพบนายจ้างคนใหม่ทันที พอไปถึงนายจ้างเป็น อินเดีย พูดภาษาอังกฤษอย่างเดียว พูดไทยไม่ได้ ผู้จัดการนายจ้างคนใหม่เป็นล่ามให้ ครั้งแรกที่จะทำแม่บ้านเป็นรายเดือน แต่ก็ดันมาเจอเครสที่ไม่คาดฝัน ทำไมให้เงินเดือนเยอะจัง นายจ้างอยู่คนเดียว
พอไปถึงตัวที่พักนายจ้างเท่านั้นแระค่ะ จะถอนตัวก็ไม่ทันแล้ว
เป็นคอนโด2ชั้น ต้องทำอาหารให้นายทานตอนเช้าด้วย คือต้องทำทุกอย่าง คอนโดใหญ่มากค่ะ ต้องดูแลทุกอย่าง ทำอยู่ได้2เดือนค่ะ
แล้วชีวิตก็มาพลิกวันที่เข้าเล่นเฟรสบุ๊ค เจอพี่สาวคนหนึ่งซึ่งเป็นญาติห่างๆค่ะ เจอกันครั้งสุดท้าย ดิฉันอายุ4ขวบเอง แต่พี่เค้าได้แฟนอยู่เมืองนอก อยู่ดีๆพี่เค้าก็ทักมา ว่าเจอเจ้หรือยัง เจ้ ก็ คือ เจ้เจือกส์นี่แระค่ะ คือเราไม่เคยเจอกันเลยทั้งๆที่เป็นญาติกัน "เพราะดิฉันเองหนีออกจากบ้าน และเจ้เจือกส์ก็ไปเรียนอยู่เมืองนอกแต่เด็กๆ" เราก็บอกว่าไม่เคยเจอ เค้าก็ส่งลิงค์ ของ"ไอทีแม่บ้าน"ให้ดูค่ะ
เราก็เข้าไปดูค่ะ ตอนแรกนึกว่าเจ้ทำงาน้กี่ยวกับแม่บ้าน ทำงานบ้านทั่วไปค่ะ ก็ดีใจว่า ถ้าเราไปทำงานแม่บ้านที่เป็นบริษัทกับเจ้ น่าจะดีนะ
เพราะเราทำงานบ้านเป็น ก็เลยแอดเฟสเจ้เจือกส์ไปค่ะ แต่พอเจ้เจือส์อธิบายให้ฟัง ก็ขำอยู่เหมือนกัน ทำไมเราเข้าใจผิด หลังจากนั้นเจ้เจือกส์ก็ให้เข้ามาหา และให้นั่งดูเค้านั่งเรียนกัน ก็ไม่ได้คิดอะไร เพราะรู้สึกว่า ตัวเองทำไม่ได้ และก็คิดว่า เฟสบุ๊ค เราเล่นเป็นอยู่แล้ว จะเรียนไปทำไม เจ้เจือกส์ก็ส่งข้อความมาว่า ให้ลองมาเรียนดู เราก็ยังไม่สนใจอะไรค่ะ ก็ทำงานแม่บ้านตามปกติ เจ้เจือกส์ก็ทักเฟสมาอีก
ว่าให้มาเรียน เราก็ด้วยความที่เกรงใจเจ้ ก็เลยมาแบบไม่เต็มใจนัก คือมาเรียนๆไป ไม่ให้เสียน้ำใจของเจ้ มาเรียนเสร็จเจ้เจือกส์ก็คุยด้วย
เราก็บอกเจ้เจือกส์ตลอดว่า ทำไม่ได้ ไม่ได้จบสูง อ่านภาษาอังกฤษไม่ออก คำว่า"เฟสบุ๊ค" เห็นทุกวันยังสะกดไม่เป็นเลย ความจำก็สั้น
เจ้เจือกส์บอกว่าไม่มีใครทำอะไรเป็นตั้งแต่เกิดหรอก ชีวิตต้องไปข้างหน้า ไม่ใช่อยู่แบบนี้ไปจนตาย ถ้าแกไม่ลองทำ จะรู้ได้ไงว่าทำไม่ได้
เนื่องจากเถียงไม่ได้ ก็เลยจำใจมาเรียนไปงั้นๆ แรกๆ มาเรียน3-4ครั้ง
ก็มึนๆเพราะสมองมันไม่รับ เลยไม่สนใจแบบจริงจัง
พอมาวันหนึ่ง เจ้เจือกส์บอกจะซื้อโน๊คบุ๊คให้1เครื่อง ดิฉันก็เริ่มรู้สึกว่า
ต้องลองดูสักตั้งแล้วล่ะ ถ้าเจ้เจือกส์แกเปิดโอกาสขนาดนี้ เราคง
ต้องตั้งใจเรียนแล้วนะ โอกาสแบบนี้ มันไม่ใช่ได้ง่ายๆ เราจบแค่ป.6
แต่เจ้เจือกส์กับให้เราลองเรียน แถมยังซื้อโน๊ตบุ๊คให้อีก มันคือโอกาสจริงๆ